ทฤษฎีโน้ตพื้นฐาน
ในการที่เราจะเล่นดนตรีให้เก่ง เล่นได้เกิดสุนทรียภาพ เเละไพเราะนั้น เราจำเป็นต้องอ่านโน้ตเเละเครื่องหมายต่างๆในโน้ตได้ ซึ่งโน้ตดนตรีทั่วโลกใช้เหมือนกันทั้งการอ่านเเละเขียน ถึงจะมีชื่อเรียกที่ต่างกันบ้าง เเต่ผู้ที่อ่านโน้ตได้ ไม่ว่าจะเอาโน้ตมาจากที่ใด ก็สามารถเล่นได้เหมือนกันทั่วโลก จึงมีคำกล่าวว่า โน้ตดนตรี เป็นหนึ่งในภาษาสากลของโลก
อันดับเเรก ก่อนที่จะกล่าวถึงส่วนประกอบในโน้ตดนตรี คณะผู้จัดทำจะขออธิบายในส่วนของตัวโน้ตเเละบรรทัด 5 เส้นก่อน เนื่องจากเป็นพื้นฐานที่สุดเเละจำเป็นต้องรู้เเละเข้าใจ หากต้องการจะศึกษาต่อในชั้นที่ลึกหรือสูงขึ้นไปอีก
โน้ตดนตรี หลายคนอาจเข้าใจว่า โน้ตดนตรี ใช้บอกระดับเสียง เเต่ความจริงเเล้วไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะโน้ตดนตรี หากไม่มีกุญเเจประจำหลักเเละบรรทัด 5 เส้น เราไม่สามารถบอกได้ว่า โน้ตตัวนั้นเป็นเสียงอะไร เเท้จริงเเล้ว ตัวโน้ตสามารถบอกได้เพียงจังหวะหรือความยาวของตัวโน้ตนั้นๆเเต่ก็ขึ้นอยู่กับเครื่องหมายกำหนดจังหวะด้วย(ในเรื่องของกุญเเจประจำหลักเเละเครื่องหมายกำหนดจังหวะ อาจเลื่อนลงไปดูในส่วนข้อมูลข้างล่างก่อนได้นะครับ^^เพื่อให้สามารถปะติดปะต่อเนื้อหาเเละสามารถทำความเข้าใจไดเมากยิ่งขึ้น)ดังนั้นจึงอธิบายค่าความยาวของโน้ตได้ดังนี้
1.โน้ตตัวกลม Whole Note เป็นโน้ตที่มีความยาวมากที่สุด
2.โน้ตตัวขาว Half Note เป็นโน้ตที่มีความยาวเป็นครึ่งหนึ่งของตัวกลม
3.โน้ตตัวดำ Quarter Note เป็นโน้ตที่มีค่าเป็น 1/4 ของตัวกลม หรือ ครึ่งหนึ่งของตัวขาว
4.โน้ตตัวเขบ็ตหนึ่งชั้น Eighth Note เป็นโน้ตที่มีค่าเป็นครึ่งหนึ่งของตัวดำ
5.โน้ตตัวเขบ็ตสองชั้น Sixteenth Note เป็นโ้นตที่มีค่าเป็น 1/4 ของตัวดำ
จากที่กล่าวมาข้างต้น เป็นค่าที่เเท้จริงของโน้ตต่างๆ เเต่หากผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ตอนนี้ไม่เข้าใจ ให้กำหนดค่าตัวกลมเป็น 4 จังหวะ ตัวขาวมีค่า 2 จังหวะ ตัวดำมีค่า 1 จังหวะ ตัวเขบ็ตหนึ่งชัน มีค่า ครึ่งจังหวะ เเละตัวเขบ็ดสองชั้นมีค่า 1/4 ของจังหวะ เพราะเพลงที่เรานิยมเล่นกันนั้น มักเป็นเพลงที่ตัวกลมมีค่า 4 จังหวะ
โน้ตดนตรี หลายคนอาจเข้าใจว่า โน้ตดนตรี ใช้บอกระดับเสียง เเต่ความจริงเเล้วไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะโน้ตดนตรี หากไม่มีกุญเเจประจำหลักเเละบรรทัด 5 เส้น เราไม่สามารถบอกได้ว่า โน้ตตัวนั้นเป็นเสียงอะไร เเท้จริงเเล้ว ตัวโน้ตสามารถบอกได้เพียงจังหวะหรือความยาวของตัวโน้ตนั้นๆเเต่ก็ขึ้นอยู่กับเครื่องหมายกำหนดจังหวะด้วย(ในเรื่องของกุญเเจประจำหลักเเละเครื่องหมายกำหนดจังหวะ อาจเลื่อนลงไปดูในส่วนข้อมูลข้างล่างก่อนได้นะครับ^^เพื่อให้สามารถปะติดปะต่อเนื้อหาเเละสามารถทำความเข้าใจไดเมากยิ่งขึ้น)ดังนั้นจึงอธิบายค่าความยาวของโน้ตได้ดังนี้
1.โน้ตตัวกลม Whole Note เป็นโน้ตที่มีความยาวมากที่สุด
2.โน้ตตัวขาว Half Note เป็นโน้ตที่มีความยาวเป็นครึ่งหนึ่งของตัวกลม
3.โน้ตตัวดำ Quarter Note เป็นโน้ตที่มีค่าเป็น 1/4 ของตัวกลม หรือ ครึ่งหนึ่งของตัวขาว
4.โน้ตตัวเขบ็ตหนึ่งชั้น Eighth Note เป็นโน้ตที่มีค่าเป็นครึ่งหนึ่งของตัวดำ
5.โน้ตตัวเขบ็ตสองชั้น Sixteenth Note เป็นโ้นตที่มีค่าเป็น 1/4 ของตัวดำ
จากที่กล่าวมาข้างต้น เป็นค่าที่เเท้จริงของโน้ตต่างๆ เเต่หากผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ตอนนี้ไม่เข้าใจ ให้กำหนดค่าตัวกลมเป็น 4 จังหวะ ตัวขาวมีค่า 2 จังหวะ ตัวดำมีค่า 1 จังหวะ ตัวเขบ็ตหนึ่งชัน มีค่า ครึ่งจังหวะ เเละตัวเขบ็ดสองชั้นมีค่า 1/4 ของจังหวะ เพราะเพลงที่เรานิยมเล่นกันนั้น มักเป็นเพลงที่ตัวกลมมีค่า 4 จังหวะ
จากรูป เป็นภาพเเสดงค่าของโน้ต ซึ่งหากผู้ที่ศึกษาอยู่ในขณะนี้ไม่เข้าใจ สามารถดูเพิ่มเติมได้จากส่วนของคลิปวีดีโอที่คณะผู้จัดทำถ่ายทำไว้
นอกจากโน้ตต่างๆที่ได้อธิบายไปนั้น ยังมีโน้ตที่เรียกว่า โน้ตสามพยางค์ หรืออื่นๆ อีกโดยโน้ตสามพยางค์ จะมี 3 ลักษณะที่พบได้บ่อย คือ สามพยางค์ตัวดำ สามพยางตัวเขบ็ตหนึ่งชั้น เเละสามพยางค์ตัวเขบ็ต 2 ชั้น ดังรูป
ตัวโน้ตที่เป็นสามพยางค์ เริ่มจากประเภทเเรกคือสามพยางค์ตัวดำ จะมีค่า 2/3 จังหวะ หรือ ในสองจังหวะ จะมีโน้ต 3 ตัว ประเภทที่สองคือ สามพยางค์เขบ็ต 1 ชั้น จะค่า 1/3 จังหวะ โดยใน 1 จังหวะจะมีโน้ต 3 ตัว ประเภทที่สาม สามพยางค์เขบ็ตสองชั้น จะมีค่าเป็น 1 ส่วน 6 ของจังหวะ หรือในหนึ่งจังหวะ มีโน้ต 6 ตัว ซึ่ง"พยางค์"นั้น ไม่ได้มีเพียง สามพยางค์ เท่านั้น เเต่ยังมีในรูปอื่นอีก เช่น 6พยางค์ 8พยางค์ 12พยางค์ ซึ่งหมายถึงจำนวนตัวโน้ตที่ต้องเล่นในหนึ่งจังหวะ เช่น 6 พยางค์หมายถึง หนึ่งจังหวะจะเล่นโน้ต 6 ตัว โน้ต 4 พยางค์ในหนึ่งจังหวะจะมีโน้ต 4 ตัว หรือก็คือเขบ็ตสองชั้นนั่นเอง
นอกจากในโน้ตดนตรี จะมีตัวโน้ตเเล้ว ยังมีส่วนของตัวหยุด ซึ่งเป็นจังหวะที่ไม่มีการเล่นหรือบรรเลงในจังหวะนั้นๆของเพลงตามที่เครื่องหมายกำกับไว้ ตัวหยุดเเต่ละจังหวะจะมีลักษณะต่างกันได้เเก่
ต่อไปคือ บรรทัด 5 เส้น ซึ่งบรรทัด 5 เส้นมีลักษณะเป็นเส้น 5 เส้นขีดในเเนวนอน มีช่อระหว่างเส้น 4 ช่อง ใช้สำหรับบรรทึกโน้ต เป็นการบอกระดับเสียงของโน้ต ตัวโน้ตที่ทับเส้น หรือ เส้นลากผ่านกึ่งกลาง เรียกว่า "ตัวโน้ตคาบเส้น" โน้ที่อยู่ระหว่างช่องเรียกว่า "โน้ตในช่อง" เส้นในบรรทัด 5 เส้น เรียงจากล่างขึ้นบน เส้นล่างคือเส้นที่ 1 นอกจากนี้ยังมี"เส้นน้อย" ซึ่งช่วยในการบันทึกโน้ตที่มีระดับเสียงไม่ได้อยู่ในระยะของบรรทัด 5 เส้นอีกด้วย การเขียนโน้ตในบรรทัด 5 เส้นตั้งเเต่เสียง ลา(ในช่อง 2)ขึ้นไป ให้กลับหัวโน้ตดังตัวอย่างภาพด้านล่าง
รูปบรรทัด 5 เส้น
ลักษณะการวางตัวโน้ต
สำหรับโน้ตดนตรี โดยพื้นฐานจะมีส่วนประกอบอยู่ 7 ส่วนหากไม่นับรวมตัวโน้ต เเละบรรทัด 5 เส้น คือ
1.(อาจเรียกง่ายๆว่า)เครื่องหมายกำหนดความเร็ว เครื่องหมายกำหนดความเร็วจะมีอยู่ 2 เเบบคือ เเบบที่เป็นตัวเลข เเละเเบบที่เป็นตัวหนังสือ โดยเครื่องหมายกำหนดความเร็วนั้น เป็นเครื่องหมายที่ใช้บอกความเร็วของจังหวะเคาะ โดยอยู่ในรูปจำนวนครั้งต่อนาที เช่น ค่าความเร็ว 60 หมายถึง ในหนึ่งนาที จะมีจังหวะเคาะ 60 ครั้ง หรือ มีตัวดำ 60 ตัว ค่าความเร็ว 80 หมายถึง ในหนึ่งนาที จะมีจังหวะเคาะ 80 ครั้ง หรือมีตัวดำ 80 ตัว ความเร็ว 168 หมายถง ในหนึ่งนาที จะมีจังหวะเคาะ 168 ครั้ง หรือมีตัวดำ 168 ตัวในหนึ่งนาที เป็นต้น ซึ่งการเคาะจังหวะให้ได้ความเร็วตามที่โน้ตกำหนดนั้น จำเป็นต้องมีความชำนาญเเละทักษะสูง ต้องใช้ความเคยชินในเรื่องของการนับเวลาให้เที่ยงตรงเหมือนเข็มวินาที ดังนั้น สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มเล่นดนตรี ควรใช้ "เมโทนอม" ในการช่วยเคาะจังหวะเเทน
เครื่องหมายกำหนดความเร็วทั้ง 2 เเบบที่กล่าวมาข้างต้นนั้น สำหรับเเบบเเรก คือ เเบบตัวเลข จะมีลักษณะดังรูป เเต่เเบบที่สองนั้น จะอยู่ในรูปตัวหนังสือ เขียนไว้บริเวณเริ่มต้นเพลงหรือส่วนบนของห้องเพลงที่ต้องการกำหนดจังหวะซึ่งเครื่องหมายกำหนดความเร็วเเบบที่เป็นตัวหนังสือก็มีอยู่หลายเเบบเช่น
2.กุญเเจประจำหลัก หรือ clef คือเครื่องหมายที่ใช้กำหนดว่าโน้ตตัวใดอ่านเป็นโน้ตอะไรในบรรทัด 5 เส้น มีอยู่หลาบเเบบ เเต่เเบบที่เป็นที่นิยมที่สุด มีอยู่ 2 เเบบ คือ
2.1 กุญเเจซอลหรือ G clef เป็นกุญเเจที่ใช้กับเครื่องดนตรีจำพวกที่มีเสียงสูงปานกลางเช่น ทรัมเป็ต เฟรนช์ฮอร์น เเซ็กโซโฟน เเละอื่นๆ รวมทั้งขลุ่ยรีคอร์เดอร์ด้วย
1.(อาจเรียกง่ายๆว่า)เครื่องหมายกำหนดความเร็ว เครื่องหมายกำหนดความเร็วจะมีอยู่ 2 เเบบคือ เเบบที่เป็นตัวเลข เเละเเบบที่เป็นตัวหนังสือ โดยเครื่องหมายกำหนดความเร็วนั้น เป็นเครื่องหมายที่ใช้บอกความเร็วของจังหวะเคาะ โดยอยู่ในรูปจำนวนครั้งต่อนาที เช่น ค่าความเร็ว 60 หมายถึง ในหนึ่งนาที จะมีจังหวะเคาะ 60 ครั้ง หรือ มีตัวดำ 60 ตัว ค่าความเร็ว 80 หมายถึง ในหนึ่งนาที จะมีจังหวะเคาะ 80 ครั้ง หรือมีตัวดำ 80 ตัว ความเร็ว 168 หมายถง ในหนึ่งนาที จะมีจังหวะเคาะ 168 ครั้ง หรือมีตัวดำ 168 ตัวในหนึ่งนาที เป็นต้น ซึ่งการเคาะจังหวะให้ได้ความเร็วตามที่โน้ตกำหนดนั้น จำเป็นต้องมีความชำนาญเเละทักษะสูง ต้องใช้ความเคยชินในเรื่องของการนับเวลาให้เที่ยงตรงเหมือนเข็มวินาที ดังนั้น สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มเล่นดนตรี ควรใช้ "เมโทนอม" ในการช่วยเคาะจังหวะเเทน
เครื่องหมายกำหนดความเร็วทั้ง 2 เเบบที่กล่าวมาข้างต้นนั้น สำหรับเเบบเเรก คือ เเบบตัวเลข จะมีลักษณะดังรูป เเต่เเบบที่สองนั้น จะอยู่ในรูปตัวหนังสือ เขียนไว้บริเวณเริ่มต้นเพลงหรือส่วนบนของห้องเพลงที่ต้องการกำหนดจังหวะซึ่งเครื่องหมายกำหนดความเร็วเเบบที่เป็นตัวหนังสือก็มีอยู่หลายเเบบเช่น
- largo 40-56 ช้ามาก
- adagio 58-70 ช้า ๆ ไม่รีบร้อน
- andante 72-90 ช้า, ก้าวสบาย ๆ
- moderrato 93-100 ความเร็วปานกลาง
- allegretto หรืออาจใช้ว่า moderately fast 102-120 ค่อนข้างเร็ว
- allegro 125-134 เร็ว
- vivace 136-172 เร็วขึ้นแบบมีชีวิตชีวา
- presto 174-216 เร็วมากทันทีทันใด
- prestissimo 218-… เร็วที่สุด
2.กุญเเจประจำหลัก หรือ clef คือเครื่องหมายที่ใช้กำหนดว่าโน้ตตัวใดอ่านเป็นโน้ตอะไรในบรรทัด 5 เส้น มีอยู่หลาบเเบบ เเต่เเบบที่เป็นที่นิยมที่สุด มีอยู่ 2 เเบบ คือ
2.1 กุญเเจซอลหรือ G clef เป็นกุญเเจที่ใช้กับเครื่องดนตรีจำพวกที่มีเสียงสูงปานกลางเช่น ทรัมเป็ต เฟรนช์ฮอร์น เเซ็กโซโฟน เเละอื่นๆ รวมทั้งขลุ่ยรีคอร์เดอร์ด้วย
กุญเเจซอล จะมีลักษณะดังรูปตัวอย่าง โดยกุญเเจซอล จะยึดตัวซอลซึ่งอยู่ทับส้นที่สองเป็นหลักในการอ่าน กุญเเจซอลเป็นกุญเเจที่ใช้สำหรับเขียนโน้ตที่มีเสียงสูงปานกลาง
2.2 กุญเเจฟา หรือ F clef เป็นกุญเเจที่ใช้กับเครื่องดนตรีจำพวกที่มีเสียงต่ำ เช่น ยูโฟเนียม บาริโทน เบส ทูบา ทอมโบน เป็นต้น
กุญเเจฟาจะลักษณะดังรูปภาพตัวอย่าง โดยกุญเเจฟาจะยึดตัว ฟา ซึ่งทับเส้นที่ 4 เป็นหลักในการอ่าน กุญเเจฟาเป็นกุญเเจที่ใช้กับโ้น้ตเพลงที่มีเสียงต่ำ
3.เครื่องหมายบังคับเสียง หรือ Key signature เป็นเครื่องหมายที่ใช้กำหนดเสียงชาร์ปเเฟล็ตต่างๆในเพลง ซึ่งเป็นเครื่องหมายกำหนดจังหวะทั้งเพลง ก่อนที่เรารจะรู้ถึงเรื่องของ key signature เราต้องรู้ก่อนว่า ความห่างของเสียงคืออะไร เเละเครื่องหมายชาร์ป เเฟล็ต คืออะไร??
ความห่างของเสียง คือ ค่าระดับเสียงที่ต่างกันระหว่างเสียง ช่วงห่างที่เล็กที่สุดคือ ครึ่งเสียง ได้เเก่ เสียงมี-ฟา เเละเสียงที-โด
ความห่างของเสียง คือ ค่าระดับเสียงที่ต่างกันระหว่างเสียง ช่วงห่างที่เล็กที่สุดคือ ครึ่งเสียง ได้เเก่ เสียงมี-ฟา เเละเสียงที-โด
จากรูป จะเห็นว่า เสียงที่ 3 หรือตัวมี เเละเสียงที่ 4 คือโน้ตตัวฟา เเละเสียงที่ 7 คือตัวที เเละเสียงที่ 8 คือตัวโดห่างกันครึ่งเสียง หรือคือ เสียงที่ 3-4 เเละเสียงที่ 7-8 ในลำดับตัวโน้ตห่างกันครึ่งเสียง เราเรียกโน้ตที่มีการเรียงระดับความห่างเสียงลักษณะนี้ว่า บันไดเสียงเมจอร์ ซึางในที่นี้จะไม่ขอกล่าวถึง เนื่องจากเป็นเรื่องที่เจาะลึกเกินไปในเรื่องของโน้ตพื้นฐาน
ตอนนี้เราได้รู้เกี่ยวกับเรื่องของความห่างของเสียงเเล้ว ดังนั้นลำดับต่อไปจะขอพูดถึงเรื่องของชาร์ปเเละเเฟล็ต
เครื่องหมายชาร์ป คือ เครื่องหมายที่บังคับให้เสียงสูงกว่าเสียงเดิมครึ่งเสียง โดยโน้ตตัวที่มีเครื่องหมายชาร์ป จะเรียกโน้ตตัวนั้นโดยมีคำว่าชาร์ปตามหลังเช่น โดชาร์ป ฟาชาร์ป เป็นต้น ซึ่งในการเขียนเครื่องหมายบังคับเสียงนี้ จะเขียนเรียงตัวทุกครั้ง คือ ฟา โด ซอล เร ลา มี ที
เครื่องหมายเเฟล็ช คือ เครื่องหมายที่บังคับให้เสียงต่ำลงครึ่งเสียง โดยโน้ตที่มีเครื่องหมายแฟล็ตจะเรียกโน้ตนั้นโดยมีคำว่าเเฟล็ตตามหลัง เช่นเดียวกับชาร์ป เช่น ทีเเฟล็ต ฟาเเฟล็ต เป็นต้น ซึ่งการเขียนเครื่องหมายบังคับเสียงในทางเเฟล็ต จะเขียนเรียงตัว ได้เเก่ ที มี ลา เร ซอล โด ฟา
**เครื่องหมายชาร์ปเเละเเฟลชที่เขียนในรูปเครื่องใหม่บังคับเสียงหรือ key signature ที่หัวเพลงนี้ จะเป็นการบังคับให้เสียงทุกเสียงที่ติดเครื่องหมายชาร์ปเเฟล็ตในเพลงนั้น ติดชาร์ปหรือเเฟล็ตนั้นทั้งเพลง เช่น หากติด ที เเฟล็ต ตัว ที ทุกตัวในเพลงจะเป็นทีเเฟล็ต เเละในกรณีที่เราต้องการตัดเสียงชาร์ปหรือเเฟล็ตออกให้เป็น "เสียงตรง" ให้ใส่เครื่องหมาย "เนเชอรัล" ไว้เพื่อทำให้เสียงนั้นเป็นเสียงตรงหรือเสียงเนเชอรัล
เครื่องหมายชาร์ป คือ เครื่องหมายที่บังคับให้เสียงสูงกว่าเสียงเดิมครึ่งเสียง โดยโน้ตตัวที่มีเครื่องหมายชาร์ป จะเรียกโน้ตตัวนั้นโดยมีคำว่าชาร์ปตามหลังเช่น โดชาร์ป ฟาชาร์ป เป็นต้น ซึ่งในการเขียนเครื่องหมายบังคับเสียงนี้ จะเขียนเรียงตัวทุกครั้ง คือ ฟา โด ซอล เร ลา มี ที
เครื่องหมายเเฟล็ช คือ เครื่องหมายที่บังคับให้เสียงต่ำลงครึ่งเสียง โดยโน้ตที่มีเครื่องหมายแฟล็ตจะเรียกโน้ตนั้นโดยมีคำว่าเเฟล็ตตามหลัง เช่นเดียวกับชาร์ป เช่น ทีเเฟล็ต ฟาเเฟล็ต เป็นต้น ซึ่งการเขียนเครื่องหมายบังคับเสียงในทางเเฟล็ต จะเขียนเรียงตัว ได้เเก่ ที มี ลา เร ซอล โด ฟา
**เครื่องหมายชาร์ปเเละเเฟลชที่เขียนในรูปเครื่องใหม่บังคับเสียงหรือ key signature ที่หัวเพลงนี้ จะเป็นการบังคับให้เสียงทุกเสียงที่ติดเครื่องหมายชาร์ปเเฟล็ตในเพลงนั้น ติดชาร์ปหรือเเฟล็ตนั้นทั้งเพลง เช่น หากติด ที เเฟล็ต ตัว ที ทุกตัวในเพลงจะเป็นทีเเฟล็ต เเละในกรณีที่เราต้องการตัดเสียงชาร์ปหรือเเฟล็ตออกให้เป็น "เสียงตรง" ให้ใส่เครื่องหมาย "เนเชอรัล" ไว้เพื่อทำให้เสียงนั้นเป็นเสียงตรงหรือเสียงเนเชอรัล
ภาพเเสดงวิธีเขียนชาร์ป เเฟล็ตต่างๆ
สัญลักษณ์ เนเชอรัล วางหน้าตัวโน้ต ทำให้โน้ตเป็นเสียงตรง
ขอเสริมเล็กน้อยครับ ^^
การติดชาร์ปหรือเเฟล็ตในเครื่องหมายบังคับเสียงนี้ ส่งผลให้เพลงนั้นสูงขึ้นหรือต่ำลงได้ หรือก็คือ คีย์ ของเพลง ดังนั้น การติดชาร์ปหรือเเฟล็ต จะมีชื่อเรียกต่างกันตามจำนวนของชาร์ปหรือเเฟล็ตที่ติด ได้เเก่
การติดชาร์ปหรือเเฟล็ตในเครื่องหมายบังคับเสียงนี้ ส่งผลให้เพลงนั้นสูงขึ้นหรือต่ำลงได้ หรือก็คือ คีย์ ของเพลง ดังนั้น การติดชาร์ปหรือเเฟล็ต จะมีชื่อเรียกต่างกันตามจำนวนของชาร์ปหรือเเฟล็ตที่ติด ได้เเก่
จากตารางเป็นชื่อคีย์ของโน้ต ซึ่งมีวิธีการจำง่ายๆ 2 ข้อ คือ เเบบชาร์ป ให้บวกเสียงสุดท้ายที่ติดเเฟล็ตขึ้นไป 1 เสียง ตัวโน้ตนั้นคือชื่อของคีย์ เช่น ติดชาร์ป 3 ตัว ได้เเก่ ฟา โด ซอล ตัวสุดท้ายคือซอล ดังนั้น คีย์นี้ชื่อคีย์ A major เป็นต้น เเบบที่ 2 คือเเฟล็ต เเฟล็ต ตัวโน้ตรองสุดท้ายคือชื่อของคีย์ เช่น ติดเเฟล็ต 4 ตัว คือ ที มี ลา เร ตัวรองสุดท้ายคือตัว ลา ดังนั้น คีย์นี้จึงชื่อคีย์ A เเฟล็ต major เป็นต้น
4.เครื่องหมายกำหนดจังหวะ หรือ time signature เป็นเครื่องหมายที่บอกจำนวนของจังหวะในห้องเพลง รวมทั้งเครื่องหมายกำหนดจังหวะบางรูปเเบบอาจทีผลกับค่าของตัวโน้ตด้วย เเต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเพียงพื้นฐาน จะไม่ขอกล่าวถึงเครื่องหมายกำหนดจังหวะที่มีผลต่อค่าของตัวโน้ต
จากรูป เป็นตัวอย่างของเครื่องหมายกำหนดจังหวะ วิธีเขียนจะเขียนตัวบนระหว่างช่อง 2 ช่องด้านบน เเละตัวล่างอยู่ระหว่าง 2 ช่องด้านร่าง โดยการเขียนจะไม่ใส่ขีดเป็นเศษส่วน เเละเวลาอ่าน จะอ่านเลขบนเเละเลขล่าง เช่น สี่สี่ สองสี่ จะไม่อ่านเป็น สี่ส่วนสี่หรือสองส่วนสี่ จากตัวอย่าง เครื่องหมายกำหนดจังหวะที่เป็นที่นิยมเเละไม่ส่งผลกับค่าโน้ต ได้เเก่ สี่สี่ สามสี่ เเละสองสี่ โดยเพลงที่มีเครื่องหมายกำหนดจังหวะเเบบนี้ ตัวกลมจะมีค่า 4 จังหวะ ตัวดำจะมีค่า 1 จังหวะ
ความหมายของตัวเลขในเครื่องหมายกำหนดจังหวะนั้น ตัวล่างจะหมายถึงค่าของตัวโน้ต เลข 2=ตัวขาว เลข 4=ตัวดำ เลข 8=ตัวเขบ็ตหนึ่งชั้น เลข 16=ตัวเขบ็ตสองชั้น ส่วนตัวเลขด้านบนหมายถึงจำนวนตัวโน้ตในห้องนั้นๆ ตัวอย่างเช่น โน้ตสี่สี่ หมายถึงมีตัวดำ 4 ตัวในหนึ่งห้อง สองสี่ หมายถึงมีตัวดำ 2 ตัวในหนึ่งห้อง ซึ่งโน้ตที่ได้กล่าวไปคือ สี่สี่ สามสี่ สองสี่ นั้นจะมีตัวดำมีค่า 1 จังหวะ ตัวกลมมีค่า 4 จังหวะ เเต่ในกรณีที่เลขตัวล่างไม่ใช่เลข 4 ตัวโน้ตจะมีค่าต่างกันไปเช่น หากเป็นสองสอง หรือ C-cut (จากภาพ รูปที่3เเละ4) ค่าโน้ตทุกตัวจะลดลงครึ่งหนึ่ง ตัวกลมจะมีค่า 2 จังหวะ ตัวขาวจะมีค่า 1 จังหวะ ตัวดำมีค่า 1/2 จังหวะ เเละหากมีเลขตัวล่างเป็น 8 เลขด้านบนเป็นเลขที่หารด้วย 3 ลงตัว โน้ตในเพลงนั้น ตัวเขบ็ตหนึ่งชั้นจะมีค่าเป็น 1/3 ของจังหวะ ดังนั้น ตัวดำ จะมีค่าเป็น 2/3 จังหวะหรือ=สามพยางค์ตัวดำ เป็นต้น
ความหมายของตัวเลขในเครื่องหมายกำหนดจังหวะนั้น ตัวล่างจะหมายถึงค่าของตัวโน้ต เลข 2=ตัวขาว เลข 4=ตัวดำ เลข 8=ตัวเขบ็ตหนึ่งชั้น เลข 16=ตัวเขบ็ตสองชั้น ส่วนตัวเลขด้านบนหมายถึงจำนวนตัวโน้ตในห้องนั้นๆ ตัวอย่างเช่น โน้ตสี่สี่ หมายถึงมีตัวดำ 4 ตัวในหนึ่งห้อง สองสี่ หมายถึงมีตัวดำ 2 ตัวในหนึ่งห้อง ซึ่งโน้ตที่ได้กล่าวไปคือ สี่สี่ สามสี่ สองสี่ นั้นจะมีตัวดำมีค่า 1 จังหวะ ตัวกลมมีค่า 4 จังหวะ เเต่ในกรณีที่เลขตัวล่างไม่ใช่เลข 4 ตัวโน้ตจะมีค่าต่างกันไปเช่น หากเป็นสองสอง หรือ C-cut (จากภาพ รูปที่3เเละ4) ค่าโน้ตทุกตัวจะลดลงครึ่งหนึ่ง ตัวกลมจะมีค่า 2 จังหวะ ตัวขาวจะมีค่า 1 จังหวะ ตัวดำมีค่า 1/2 จังหวะ เเละหากมีเลขตัวล่างเป็น 8 เลขด้านบนเป็นเลขที่หารด้วย 3 ลงตัว โน้ตในเพลงนั้น ตัวเขบ็ตหนึ่งชั้นจะมีค่าเป็น 1/3 ของจังหวะ ดังนั้น ตัวดำ จะมีค่าเป็น 2/3 จังหวะหรือ=สามพยางค์ตัวดำ เป็นต้น
5.เส้นกั้นห้อง หรือ bar line เป็นเส้นที่กั้นระหว่างห้องเพลงทำให้ง่ายต่อการอ่าน โดยเส้นกันห้องจะเเบ่งห้องเพลงให้เเต่ละห้องเพลงทีอัตราจังหวะตามที่กำหนดในเครื่องหมายกำหนดจังหวะ
6.เส้นจบ หรือ double bar line เป็นเส้นที่เขียนไว้ท้ายสุดของบทเพลง หมายถึงจบเพลง
7.เครื่องหมายต่างๆในเพลง การที่เราจะเล่นหรือบรรเลงเพลงต่างๆได้อย่างไพเราะ จำเป็นจะต้องมีอารมณ์ร่วมกับบทเพลง ซึ่งเครื่องหมายต่างๆในเพลงจะช่วยให้ผู้ที่อ่านโน้ต เข้าใจอารมณ์ของผู้เเต่งที่ต้องการสื่อในบทเพลง เเละทำให้เล่นเพลงต่างๆได้อย่างไพเราะเเละทำให้ผู้ฟังมีอารมณ์คล้อยตามทั้งฮึกเหิม เศร้าสร้อย สนุก ตื่นเต้น ซึ่งเครื่องหมายในดนตรีก็มีอยู่หลายอย่าง เเต่ที่มักพบได้บ่อยๆ ได้เเก่
1.เครื่องหมายเฟอมาต้า(Fermata)หรือเครื่องหมายตาไก่ เป็นเครื่องหมายที่ให้ผู้เล่น บรรเลงโน้ตที่มีตัวเฟอมาต้ากำกับอยู่ไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์ของเพลงหรือจนกว่า"วาทยากรหรือคอนดักเตอร์"จะสั่งให้หยุดหรือบรรเลงต่อไป
2.เครื่องหมายบอกไดนามิก คือเครื่องหมายบอกความเข้มเสียงหรือดัง-เบา มีหลักอยู่ 8 ตัวคือ
-PPP ย่อมาจาก Pianississimo หมายถึง เบามาก
-PP ย่อมาจาก Pianissimo หมายถึง เบามาก
-P ย่อมาจาก Piano หมายถึง เบา
-MP ย่อมาจาก Mezzo-Piano หมายถึง เบาปานกลาง
-MF ย่อมาจาก Mezzo-Forte หมายถึง ดังปานกลาง
-F ย่อมาจาก Forte หมายถึง ดัง
-FF ย่อมาจาก Fortissimo หมายถึง ดังมาก
-FFF ย่อมาจาก Fortississino หมายถึง ดังที่สุด
-PPP ย่อมาจาก Pianississimo หมายถึง เบามาก
-PP ย่อมาจาก Pianissimo หมายถึง เบามาก
-P ย่อมาจาก Piano หมายถึง เบา
-MP ย่อมาจาก Mezzo-Piano หมายถึง เบาปานกลาง
-MF ย่อมาจาก Mezzo-Forte หมายถึง ดังปานกลาง
-F ย่อมาจาก Forte หมายถึง ดัง
-FF ย่อมาจาก Fortissimo หมายถึง ดังมาก
-FFF ย่อมาจาก Fortississino หมายถึง ดังที่สุด
3.เครื่องหมายเครสเซนโด้เเละดิเครสเซนโด้ (crescendo-decrescendo)เป็นเครื่องหมายที่ควบคุมความดังเบาเสียงในลักษณะค่อยๆเบาลงหรือค่อยๆดังขึ้น โดยเครสเซนโด้จะหมายถึงเสียงเบาไปดัง ส่วนดิเครสเซนโด้จะหมายถึงดังไปเบา
4.เครื่องหมายของเสียง เป็นเครื่องหมายที่บอกถึงวิธีการเล่นโน้ตตัวนั้นๆตามอารมณ์ของเพลงเช่น การเป่าสั้น การกระเเทก เป็นต้น มีหลักอยู่ 3 เเบบ คือ
-เครื่องหมายเเอกเซนท์ (Accent) หมายถึง เครื่องหมายเน้นจังหวะ หรือเน้นเสียง หรือ กระเเทกหัวโน้ต มี 2 เเบบ คือ > เเละ ^ เเบบ > จะมีความยาวเสียงมากกว่าเเบบ ^
-เครื่องหมายเเอกเซนท์ (Accent) หมายถึง เครื่องหมายเน้นจังหวะ หรือเน้นเสียง หรือ กระเเทกหัวโน้ต มี 2 เเบบ คือ > เเละ ^ เเบบ > จะมีความยาวเสียงมากกว่าเเบบ ^
-เครื่องหมายสตัคคาโต (Staccato) เป็นเครื่องหมายที่ให้เล่นเสียงตัวที่มีเครื่องหมายนี้กำกับให้สั้นที่สุด จะไม่พบเครื่องหมายนี้กับตัวที่มีค่ามากกว่าตัวดำขึ้นไป เนื่องจากเป็นโน้ตที่มีเสียงยาว จะพบเเต่เพียง ตัวดำ ตัวเขบ็ต เเละตัวพยางค์เท่านั้น
-เครื่องหมายเตนูโต (Tenuto) หมายถึง การเล่นโน้ตให้มี"หางเสียง"คือลากเสียงให้ครบจังหวะเต็มมากที่สุด โน้ตตัวกลมก็ลากเสียงให้ยาวเต็มค่าโน้ตของตัวกลม
5.เครื่องหมาย Rit ย่อมาจาก Ritardando คือการลดความเร็วของจังหวะเคาะลงไปเรื่อยๆ ซึงมักใช้ในท่อนก่อนจบเพลง หรือในเพลงที่ต้องการทำให้เกิดความอลังการในท่อนที่เป็นท่อนเด่น อาจใช้การ Rit ก่อนที่จะเข้าท่อนเพลงนั้นๆ ประกอบกับใช้เครสเซนโด้ร่วมด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความอลังการมากขึ้น
เอาล่ะครับ ตอนนี้ ทางผู้จัดทำก็ได้อธิบายในส่วนของโน้ตเพลงที่อาจจะเจอเเล้วนะครับ ผู้ที่ไม่เข้าใจในส่วนของค่าโน้ตนะครับ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากคลิปวีดีโอด้านล่างนี้นะครับ ซึ่งในคลิปเนี่ย จะประกอบด้วยเรื่องของโน้ตที่ได้อธิบายไป เเละจะมีเพิ่มเติมในส่วนของค่าโน้ต เเละเครื่องหมายนอกเหนือจากนี้นะครับ เช่น เครื่องหมายย้อนเพลงซึ่งเราอาจพบได้บ่อยๆในเพลงนะครับ สำหรับเนื้อหา หากมีข้อผิดพลาดหรือทำให้ผู้ศึกษาอยู่ไม่เข้าใจ ก็ขอกราบขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
หลังจากที่ศึกษาในส่วนของโน้ตเสร็จเเล้วนะครับ ให้ศึกษาต่อในส่วนของขลุ่ยรีคอร์เดอร์กันเลยนะครับ